จาก กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พ.ศ. ๒๕๕๒ และ ประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พ.ศ. ๒๕๕๒ กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ บุคคลหรือนิติบุคคล (ผู้ตรวจสอบพลังงาน) ที่อธิบดีกรมพัฒนาพลังงาน
น้ำ คือ ปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกคน และคุณสมบัติของน้ำ สามารถเป็นของแข็ง,ของเหลวและก๊าซได้ ซึ่งการที่จะใช้ประโยชน์ในแต่ละสถานะนั้นก็แตกต่างกัน บทความนี้ ขอกล่าวถึงการใช้ประโยชน์ในสถานะก๊าซเท่านั้น หรือที่เรียกว่า ไอน้ำ ทำไมเราจึงต้องใช้ไอน้ำและศึกษาเรื่องไอน้ำ ซึ่งสมัยก่อนใช้ไอน้ำเพียงแค่ประกอบอาหาร แต่ปัจจุบัน เราใช้ประโยชน์จากไอน้ำในรูปแบบของพลังงานความร้อนมากขึ้น ซึ่งมีราคาถูก หาง่าย การควบคุมอุณหภูมิ และความดันเป็นไปได้ง่าย และ ใน อุตสาหกรรมบางชนิด ไอน้ำ ถือเป็นปัจจัยหลักที่มีความสำคัญมากด้วย เช่น อุตสาหกรรมย้อมผ้า เป็นต้น ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษา ไอน้ำและการใช้ไอน้ำ เพื่อใช้ประโยชน์ของไอน้ำให้ได้คุ้มค่าที่สุด และจะทำให้ต้นทุนในการผลิตต่ำลงในที่สุด
สิ่งที่เราได้จากไอน้ำ นั้น คือ ปริมาณพลังงานที่เกิดขึ้นจากความดันและอุณหภูมิ ณ สถานะไอน้ำ หรือเรียกว่า “เอ็นธาลปี” (Enthalpy) และจะนำเอา “เอ็นธาลปีจำเพาะ” (Specific Enthalpy) หรือ เอ็นธาลปี (ปริมาณพลังงาน) ของมวลสารหนึ่งหน่วย ( 1 กิโลกรัม) มาใช้ในการคำนวณ โดยมีหน่วยเป็น kJ/kg
ความจุความร้อนจำเพาะ (Specific Heat Capacity)
คือ หน่วยวัดความสามารถของวัตถุในการดูดซึมความร้อนนั่นคือ ปริมาณของพลังงาน (จูล) ที่ต้องการทำให้สาร 1 กิโลกรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส หน่วยที่ใช้คือ kJ/kg oC (น้ำมีความจุความร้อนจำเพาะ 4.186 kJ/kg oC)
ความดันสมบูรณ์และความดันเกจ (Absolute Pressure and Gauge Pressure)
ความดันสมบูรณ์คือ ระดับความดันที่อยู่เหนือกว่าความดันในสูญญากาศ [ความดันสมบูรณ์ (Absolute Pressure) P(abs) = P(gage) + P(atm)]
เช่น ความดันบรรยากาศที่มีค่าเท่ากับ 1.013 บาร์สมบูรณ์ (Bar abs.) ที่ระดับน้ำทะเล
ความดันเกจคือความดันที่ปรากฏขึ้นที่เครื่องวัดความดันมาตรฐาน ซึ่งติดอยู่กับระบบไอน้ำ ความดันเกจเป็นความดันที่อยู่ในระดับเหนือกว่าความดันบรรยากาศ ตรงจุดเลขศูนย์ที่หน้าปัทม์ของเครื่องวัดจึงมีค่าโดยประมาณเท่ากับ 1.013 บาร์สมบูรณ์
ดังนั้นความดัน 3 บาร์สมบูรณ์ จึงประกอบด้วยความดันเกจ 1.987 บาร์บวกกับความดันบรรยากาศ 1.013 บาร์ ( 1 บาร์ เท่ากับ 100 kPa )
ความร้อนและการถ่ายเทความร้อน (Heat and Heat Transfer)
การถ่ายเทความร้อนนั้น จะ ใช้การไหลของเอ็นธาลปีจากสสารหนึ่งที่มีอุณหภูมิสูงไปยังอีกสสารหนึ่งที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า เมื่อนำสสารทั้งสองมาสัมผัสกัน จะนำไอน้ำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร
ความดันที่เกิดขึ้นโดยบรรยากาศในขณะที่น้ำเดือด ณ อุณหภูมิ 100 oC เท่ากับ 1.01325 บาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับความดันบรรยากาศ 1 บาร์ หากน้ำในหม้อไอน้ำร้อนขึ้นจนเกิดเป็นไอน้ำแล้วความดันของไอน้ำและความดันของน้ำก็จะเพิ่มมากขึ้นดังนั้นเราจึงนำความดันอันนี้ไปใช้ประโยชน์แล้วปล่อยให้ไอน้ำภายใต้ความดันพุ่งไปยังเครื่องอุปกรณ์ที่ทำให้สามารถควบแน่นเป็นน้ำได้ โดยมีความดันเท่าเดิมนี้ไหลต่อไปยังหม้อไอน้ำอีกครั้งหนึ่ง หม้อไอน้ำจะทำงานด้วยความดันที่สูงกว่าความดันบรรยากาศ อุณหภูมิของน้ำอิ่มตัวและของไอน้ำก็จะสูงกว่า 100 oC เช่น ถ้าความดันเท่ากับ 10 บาร์สมบูรณ์ อุณหภูมิของน้ำอิ่มตัวก็จะเท่ากับ 180 oC ซึ่งถ้าอุณหภูมิสูงๆ จะทำให้น้ำได้รับปริมาณ “เอ็นธาลปีของน้ำอิ่มตัว” มากขึ้น ในอีกทางหนึ่งเอ็นธาลปีของการกลายเป็นไอน้ำที่จำเป็นต้องใช้ในการทำให้น้ำอิ่มตัวกลายเป็นไอนั้นจะลดลงในขณะที่ความดันเพิ่มขึ้น โมเลกุลของไอน้ำในความดันสูงๆ จะเกาะกลุ่มกันอยู่หนาแน่นกว่า และปริมาณพลังงานที่ต้องการเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้โมเลกุลเหล่านั้นแยกตัวออกจากน้ำก็จะลดน้อยลง ในความดันที่สูงมากๆ ประมาณเหนือกว่า 221 บาร์ ระดับพลังงานของโมเลกุลไอน้ำก็จะมีค่าเท่ากันกับระดับพลังงานของน้ำ และเอ็นธาลปีของการกลายเป็นไอน้ำก็จะเหลือเพียงศูนย์ อีกสิ่งหนึ่งคือ ปริมาตร ซึ่งปริมาตรของมวลสารใดๆ ย่อมขึ้นอยู่กับความดัน ณ ความดันบรรยากาศ ไอน้ำ 1 kg จะมีปริมาตรเท่ากับ 1.673 ลูกบาศก์เมตร ณ ความดัน 10 บาร์สมบูรณ์ ไอน้ำ 1 kg เท่ากันนั้นจะมีปริมาตรเพียง 0.1943 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ปริมาตรของไอน้ำ 1 kg ณ ความดันระดับใดระดับหนึ่งเรียกว่า ปริมาตรจำเพาะ ( Specific Volumne , vg)
ลักษณะของไอน้ำที่นำไปใช้งานนั้น จะมีทั้งไอน้ำแห้งและไอน้ำเปียก ความหมายของไอน้ำอิ่มตัวแห้งคือ ไอน้ำที่กลายเป็นไอโดยสิ้นเชิงจนไม่มีหยดน้ำหรือละอองน้ำ ซึ่งในทางปฏิบัตินั้น ไอน้ำมักจะมีหยดน้ำเล็กๆ ปนอยู่ด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง ส่วนไอน้ำเปียก คือ ไอน้ำที่ยังมีหยดน้ำหรือละอองน้ำปนอยู่ยกตัวอย่างเช่น เราจะสามารถคำนวณหาเอ็นธาลปีจำเพาะของไอน้ำที่ 7 บาร์ ซึ่งมีอัตราส่วนการแห้ง 0.95 ได้ดังนี้
[ไอน้ำเปียก 1 kg จะมีเอ็นธาลปีของน้ำอิ่มตัวอยู่เต็มที่แต่เนื่องจากไอน้ำแห้ง 0.95 kg มีน้ำปนอยู่ด้วย 0.05 kg ปริมาณเอ็นธาลปีของการกลายเป็นไอน้ำจึงมีอยู่เท่ากับ 0.95 เท่านั้น เพราะฉะนั้นเอ็นธาลปีจำเพาะของไอน้ำจึงเท่ากับ hg = hf + (0.95 x hfg)]
เมื่อ
- hg คือ เอ็นธาลปีจำเพาะของไอน้ำอิ่มตัว
- hf คือ เอ็นธาลปีจำเพาะของน้ำอิ่มตัว
- hfg คือ เอ็นธาลปีของการกลายเป็นไอน้ำ
หากว่า ความดันเพิ่มขึ้น
- เอ็นธาลปีของไอน้ำอิ่มตัวจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- เอ็นธาลปีของน้ำอิ่มตัวจะเพิ่มขึ้น
- เอ็นธาลปีของการกลายเป็นไอน้ำอิ่มตัวจะลดลง
หากว่า ความดันลดลง
- เอ็นธาลปีของไอน้ำอิ่มตัวจะลดลงเล็กน้อย
- เอ็นธาลปีของน้ำอิ่มตัวจะลดลง
- เอ็นธาลปีของการกลายเป็นไอน้ำอิ่มตัวจะเพิ่มขึ้น
จากกราฟ จะพบว่า การเปลี่ยนสภาพจากน้ำเป็นไอน้ำ ผลของการเพิ่มเอ็นธาลปีที่มีต่อสภาพทั้งสองอย่าง เส้นดิ่งแสดงอุณหภูมิ เส้นนอนคือ เอ็นธาลปี ที่แบ่งออกตามระดับอุณหภูมิในช่วงที่มีการเพิ่มเอ็นธาลปีเข้าไปพื้นที่ที่ต่ำกว่าแนวเส้นเหล่านั้นในกราฟก็คือ เอ็นธาลปีที่จุด A น้ำในขณะที่มีอุณหภูมิ 0oC มีเอ็นธาลปีเท่ากับ 0 ขณะที่การเพิ่มเอ็นธาลปีเข้าไป อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นไปตามแนวเส้น AB จุด B คือจุดอิ่มตัว หรือจุดเดือด T1 ซึ่งเป็นไปตามระดับความดันในระบบ จากจุด B ถึงจุด C เอ็นธาลปีของการกลายเป็นไอน้ำจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่อุณหภูมิอยู่คงที่ในระดับ T1 ถ้ามีการเพิ่มเอ็นธาลปีเลยจุด C ขึ้นไป ก็จะทำให้อุณหภูมิของไอน้ำเพิ่มขึ้น จนถึงระดับ T2 ที่จุด D บริเวณของกราฟทางด้านขวามือของเส้น C-D นั้นก็คือ ไอร้อนยวดยิ่งนั่นเอง T2 คือ อุณหภูมิของไอร้อนยวดยิ่ง และจาก T2 ถึง T1 ก็คือ ปริมาณของความร้อนยวดยิ่งที่เพิ่มเข้าไป ความดันของน้ำและไอน้ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏอยู่ตามเส้น AEFG
ประเภทการใช้ไอน้ำ สามารถแบ่งได้2 ประเภท คือ
- ใช้ขับเครื่องกังหันไอน้ำ เครื่องจักรไอน้ำอันเป็นเครื่องจักรต้นกำลัง
- ใช้เป็นตัวถ่ายเทความร้อน ซึ่งมี 2 ลักษณะกล่าวคือ ใช้ถ่ายเทโดยตรง เช่น อบนึ่ง ฆ่าเชื้อโรคและใช้โดย อ้อมโดยผ่านเข้าไปในขดแลกเปลี่ยนความร้อน
เอกสารอ้างอิง
- สไปแร็กซ ซาร์โก, 2538, “หลักสูตรการใช้ไอน้ำ”, หน้า 5-14
- กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
- สถานจัดการและอนุรักษ์พลังงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หมวดหมู่:
หลังจากที่ US Green Building Council ได้ออกเกณฑ์การประเมินอาคารเขียวในชื่อ LEED เกณฑ์นี้ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก มีอาคารหลายแห่งในหลายประเทศ สนใจเข้าร่วมรับการประเมิน กว่า 26,000 อาคารแล้ว และมีอีกหลายประเทศที่ได้พัฒนาเกณฑ์ขึ้นมาใช้เอง เช่น สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ ญี่ปุ่น รวมถึง ประเทศไท
ในการผลิตไอน้ำโดยหม้อไอน้ำ (Boiler) โดยทั่วไปเชื้อเพลิงที่ใช้กันอยู่ประกอบด้วย ถ่านหิน (Coal), น้ำมันเตา (Heavy Oil), ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas), หรือไฟฟ้า (Electricity) ซึ่งแน่นอนว่าต้นทุนในการผลิตไอน้ำของเชื้อเพลิงแต่ละชนิดย่อมไม่เท่ากัน โดยส่วนใหญ่การผลิตไอน้ำโดยใช้เชื้อเพลิงถ่านหินจะมีต้นทุนในกา